SOCIAL MEDIA

Dec 4, 2016

When in Paris ตะลุยปารีสครั้งแรก! 8 วัน 7 คืน Check-in แลนด์มาร์คฮิตๆ Disneyland + Mont Saint Micheal + Lourve and etc.


สวัสดีค่ะ วันนี้เราจะขอมาแชร์ประสบการณ์เที่ยวกรุงปารีสเมื่อตอนต้นปี 2015 ค่ะ แม้ว่าจะผ่านไปนานทำให้ข้อมูลอาจจะไม่เป๊ะทุกอย่าง แต่ก็อยากเอามาแชร์ให้ทุกคนได้อ่านกันค่ะ


ทริปนี้เราไปกันสามคนโดยพวกเราบินออกจาก กลาสโกว์ ไปลงที่สนามบิน CDG โดยสานการบิน easyJet ซึ่งเป็นสายการบิน Low Cost ของอังกฤษ ใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมงกว่าก็ถึงมหานครปารีส ตั๋วเครื่องบินนั้นจำได้ว่าราคาไม่แพงเลย ตกคนละประมาณ £125 ซึ่งถือว่าราคาโอเคเลย รวมค่ากระเป๋าแล้วด้วย

ส่วนที่พักนั้นพวกเราพักกันที่ BEST WESTERN PREMIER Opera Faubourg โรงแรมนี้เพื่อนเราที่เรียนอยู่ที่ปารีสแนะนำเองเพราะอยู่ย่านที่ปลอดภัยแล้วก็ใกล้กับ Metro  ค่าโรงแรมสำหรับ7คืนนั้นตกอยู่ที่คนละ 558ยูโร ก็แอบแพงอยู่เหมือนกันแต่ถ้าเทียบกับขนาดห้อง ทำเล สิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆก็ถือว่าโอเคเลยสำหรับราคานี้

*คุณภาพของรูปอาจจะไม่ดีพอนะคะเพราะว่าใช้กล้องiPhoneถ่ายทั้งทริปค่ะ บล็อกนี้ยาวมากนะคะเพราะจะรวบไว้ในตอนเดียว

Day1
วันแรกพวกเราไปถึงปารีสก็มืดแล้ว จึงรีบนั่งรถบัสจากสนามบินเข้าเมืองเพื่อไปลงในเมืองค่ะ หลังจากลงจากรถบัสแล้วพวกเราก็เดินต่อฝ่าอากาศหนาวกันไปที่โรงแรม จนไปถึงโรงแรมเช๊คอินเรียบร้อยเก็บกระเป๋า แล้วเรากับเพื่อนอีกหิวเลยลงไปหาอะไรกินแถวโรงแรมกันสองคนส่วน และนี่ก็คืออาหารมื้อแรกที่ปารีส ซึ่งบอกเลยว่าน่าจะนอนอยู่บนโรงแรมดีกว่า มันไม่อร่อยเลยและแพงมาก T_T


Day2
วันนี้พวกเราจะไปตะลุย Disneyland Paris กันค่ะ โดยจะมีเพื่อนของเพื่อนมาแจมด้วย

การเดินทาง: นั่งรถไฟใต้ดินเพื่อไปขึ้นรถไฟ RER กัน จากนั้นนั่งรถไฟเพื่อไปลงที่สถานี Marne-la-Vallée Chessy ซึ่งเป็นสถานีที่ตรงไปยัง Disneyland โดยใช้เวลาประมาณครึ่งชั่วโมง เป็นอะไรที่สะดวกมาก

หลังจากเจอเพื่อนอีกคนแล้วก็ซื้อตั๋วหาอะไรรองท้องกันให้เรียบร้อย พอกินเสร็จเดินออกมา ปรากฎว่าหิมะตกจ้า หนาวมากกกกกกก แต่พวกเราก็ไม่ท้อ ยังคงถ่ายรูปเล่นอะไรกันให้เต็มที่สุด จนผ่านไปซักพักก็เริ่มชินและหน้าชาไปหมด 5555 



จากนั้นก็กลับเข้าปารีส ไปกิน Chitpole เสร็จแล้วก็เดินไปดูหอไอเฟลกันต่อ พอได้เห็นของจริงแล้วยิ่งตอนกลางคืนที่เค้าเปิดไฟ คือมันสวยจริงๆอ่ะ เข้าใจแล้วว่าทำไมหลายคนถึงอยากมาปารีส มาดูหอไอเฟล 


 Day3
วันนี้พวกเราแพลนที่จะเที่ยวเก็บแลนด์มาร์คสำคัญอื่นๆในปารีส โดยเริ่มที่ Arc de Triomphe หรือชื่อที่คนไทยรู้จักกันคือ ประตูชัยฝรั่งเศส ซึ่งเราสามารถทีจะขึ้นไปบนชั้นดาดฟ้าของประตูชัยนี้ด้วย โดยเดินขึ้นบันไดเล็กๆวนขึ้นไปเรื่อยๆจนถึงยอด ถึงแม้จะมีลิฟต์ก็ไม่สามารถใช้ได้เพราะตอนที่ไปนั้นมีเจ้าหน้าที่คอยคุมและเปิดให้ใช้เฉพาะผู้ที่นั่งรถเข็นหรือผู้สูงอายุเท่านั้น


 


จากนั้นเราไปต่อกันที่ร้านสเต๊กชื่อดัง Le Relais de Venise L'Entrecote ที่เราขอเรียกว่าสเต๊กต่อคิว  เนื่องจากชื่อมันยาวมากและคิวก็ยาวยิ่งกว่า แต่โชคดีที่เราไปตอนก่อนเที่ยงคือร้านเปิดพอดีเลยได้โต๊ะเลยไม่ต้องรอคิว พอนั่งปุ๊บพนักงานก็มาแนะนำถามว่าเคยมาไหมก็บอกกันไปว่าไม่เคยเค้าก็แนะนำว่ามีแค่สเต๊กนะ เลือกความสุกได้แค่ Rare, Medium, Well Done พวกเราก็สั่งกันคนละจานกับไวน์อีกหนึ่งขวดของเพื่อน นั่งคุยรออาหารกันแป๊บนึงหันไปอีกทีคนก็เต็มร้าน มองไปข้างนอกคือคนก็มารอคิวกันแล้วอ่ะ


จะมีสลัดมาเสริฟ์เป็น Starter ก่อน พอกินสลัดเสร็จ สเต๊กก็มาพอห็นปริมาณแล้วก็มองหน้ากันว่าเห้ยแค่นี้หรอ คือเนื้อแค่ไม่กี่ชิ้นเนี่ยนะ แต่เหมือนอ่านมาว่าแบบเค้าจะมาเติมให้ทีหลังให้กินให้หมดรอบแรกก่อน พวกเราเลยไม่ได้แย้งอะไร พอกินหมดพนักงานก็มาเสริฟ์อีกครึ่งนึงที่เหลือพร้อมถามว่าเอา fries เพิ่มไหม พวกเราก็ไม่ปฎิเสธ ซึ่งเราว่าจุดเด่นของร้านนี้คือซอสของมันเนี่ยแหละ รสชาติคือไม่เคยกินที่ไหนมาก่อน ติดใจชอบมากจนต้องกลับไปกินที่ลอนดอนอีกครั้งอ่ะ เป็นร้านที่แนะนำอยากให้ทุกคนไปลองกัน



อิ่มกันแล้วพวกเราก็นั่งรถไฟใต้ดินไป Lourve ต่อ พวกเราแค่ถ่ายรูปข้างนอกเพราะเราจะมา Lourve กันอีกทีวันหลัง



เสร็จจาก Lourve พวกเราก็เดินกันไปเรื่อยๆจนไปเจอคนเข้าแถวยาวมากเลยลองเดินไปดู มันคือ Sainte-Chapelle ก็เลยเดินย้อนกลับไปต่อคิวกับเค้าบ้าง พอเข้าไปแล้วข้างในคือสวยมากกกกกกกก....แต่นอกจากกระจกแล้วก็ไม่ได้มีอะไรเป็นพิเศษ เอาเป็นว่าถือว่ามาเก็บแลนด์มาร์คอีกที่




จากนั้นพวกเราก็เดินลัดเลาะไปเรื่อยๆจนถึง Norte Dame de Paris


(สังเกตุได้จากหน้าคือเริ่มเหนื่อยแล้ว เดินเยอะมว๊ากกก)

หลังจากนั้นเราก็เดินกันต่อไปเรื่อยๆเพื่อจะไปตามหาร้านไอศครีมชื่อดัง จนไปเจอสะพานที่มีลูกกุญแจล๊อคอยู่เต็มสะพาน ให้อารมาณ์แบบที่เกาหลีเลย 


ร้าน Berthillon เป็นไอศครีมร้านดังที่มีหลายคนแนะนำให้มา เราสั่งรส Salted Caramel กับรสอะไรอีกรสนึงเนี่ยแหละจำไม่ได้ แต่รสชาติคืออร่อย กินไอศครีมท่ามกลางอากาศหนาวๆนี่คือฟิน จากนั้นก็เดินเล่นกันไปเรื่อยๆจนไปเจอ Amorino ก็จัดมากันอีกคนละโคน ถ้าจำไม่ผิดของเราน่าจะเป็น Yogurt, Salted Caramel, Strawberry รสเปรี้ยวตัดกับรสหวานของคาราเมลได้ดี




Day4

วันนี้พวกเราไป Palace of Versilles กันค่ะ ออกเดินทางกันตั้งแต่เช้าเพราะต้องนั่งรถไฟ RER ออกไปนอกปารีสเพื่อไปลงที่สถานี Versailles Chateau Rive Gauche



แวะกินมื้อเช้าที่ร้าน ANGELINA สาขาที่เปิดในพระราชวังพอดี ที่นี่ขึ้นชื่อเรื่องความเข้มข้นของ Hot Chocolate พวกเราลองสั่งมากันดูพร้อมกับแซนวิชอีกคนละจาน และขนมมาแบ่งกัน พอลองเทโกโก้ร้อนเท่านั้นแหละ โอ้โหหหหห...มันเข้มมากกกก ข้นสุดๆ รสชาติแบบอื้มมมมมโคตรจะช๊อคโกแลต เข้มเกินจนกินกันไม่ได้ บิลออกมาราคานี่แทบจะร้องไห้ แพงแบบขูดรีดเนื้อมาก T_T




อิ่มท้องกันแล้วก็เดินชมพระราชวังให้คุ้มกับค่าตั๋วและค่ามื้อเช้าที่เสียไป แต่พอมาไล่ดูรูปดูแล้วคือแทบจะไม่ได้ถ่ายรูปภายในราชวังเลย ส่วนมากจะเป็นรูปที่ถ่ายข้างนอกในสวนมากกว่า



จากนั้นพวกเราก็นั่งรถไฟกลับเข้าเมืองเพื่อที่จะไปเข้า Lourve กัน ก่อนไปถึงก็คุยกันซะดิบดีว่าจะใช้เวลาอยู่ที่นี่จนถึงเย็นเพราะมันใหญ่มาก สุดท้ายอยู่ไม่ถึง 2 ชั่วโมงก็ออกมากันเพราะหมดแรง ออกไปเดินเล่นหาอะไรกินกันดีกว่า 555555 เดินไปเรื่อยจนไปเจอเหมือนเป็นย่านช้อปปิ้ง มีร้านอาหารร้านเสื้อผ้าเต็มข้างทาง จนไปจบลงที่ร้านเครป Breizh Cafe' รสชาติธรรมดาไม่ได้แย่แต่ก็ไม่ได้ว้าว




ตอนเย็นเราแยกกับเพื่อนไปหาเพื่อนสนิทที่เรียนอยู่ที่นี่ เพื่อจะไปกินอาหารฝรั่งเศสกัน เพราะตั้งแต่มาถึงนี่ยังไม่ได้กินอาหารฝรั่งเศสแบบจริงๆจังๆเลยนะ เลยบอกให้เพื่อนช่วยพาไปกินหน่อย ซึ่งพอกินแล้วคือบอกเลยว่าซุปหัวหอมแบบฝรั่งเศสที่เคยกินที่ไทยอร่อยกว่าเยอะ เพราะที่ร้านนี้คือแบบมันมากกกก นํ้ามันนี่ลอยเต็มซุปแถมจืดสนิท



Day5
วันนี้นัดเจอกับเพื่อนแต่เช้าเพื่อให้ทำตัวเป็นเจ้าบ้านที่ดีโดนการพาพวกเราเที่ยว สถานที่แรกที่ไปคือ Sacre-Coeur ถ้าถามเราว่ามันคืออะไรก็ขอบอกเลยว่าไม่รู้เหมือนกัน เอาเป็นว่าสวย เหมาะกับการถ่ายรูป 

เสร็จแล้วก็ไปหาอะไรกินกันที่ร้าน Leon de Bruxelles เป็นร้านอาหารที่เน้นไปทางหอยแมลงภู่อบ มีหลายสาขา หอยตัวจะไม่ใหญ่มาก รสชาติใช้ได้ ถ้าไม่รู้จะกินอะไรกันก็แนะนำให้ไปลองกันดู 




จากนั้นก็เดินเที่ยวในเมืองไปเรื่อย ช้อปปิ้งเล็กน้อยได้กระเป๋ากันมาคนละใบ ก่อนที่จะไปกินไอศครีมชื่อดังอย่าง GROM ไอศครีมจากอิตาลีที่ขอยกให้เป็นร้านโปรดเลย อร่อยกว่า Amorino อีกชอบมากกกก




Day6

วันนี้พวกเราออกนอกปารีสกันอีกแล้วเพื่อไป Mont Saint Micheal เพราะเพื่อนบอกว่าต้องไปให้ได้เพราะมาถึงฝรั่งเศสแล้วทั้งที จึงนั่งรถไฟไปลงที่ Rennes (จองตั๋วล่วงหน้ากันมาตั้งแต่ตอนอยู่กลาสโกว์แล้ว) พอไปถึงแล้วก็ต้องนั่งรถบัสต่ออีกชั่วโมงกว่าเพื่อไปยังที่ตั้งของ Mont Saint Micheal พอลงจากรถบัสแล้วต้องรอรถ Shuttle Bus ที่จะพาเราไปยังข้างในอีก มองจากไกลๆนั้นวิวสวยมากกกก คือแค่มองจากตรงนี้ก็คุ้มกับการเดินทางแล้วอ่ะ เป็นวันที่ฟ้าใสมากอากาศดีสุดในทริปนี้เลย



พอไปถึงข้างในแล้วเหมือนเป็นเมืองเล็กๆอีกเมืองนึงเลย มีทั้งโรงแรม ร้านอาหาร ร้านขายของฝากเต็มตลอดสองข้างทางเดิน  



    

Day7

วันนี้เป็นวันชิลๆไม่เน้นเที่ยวเพราะเหนื่อยจากเมื่อวานกัน เลยนัดเพื่อนมาเดินเที่ยวช้อปปิ้งกินข้าวกัน เป็นวันที่ชิลสุด อยากไปไหนก็ไป เข้าร้านไหนก็เข้า 


Day8 

วันสุดท้าย ตื่นเช้ามาก็ไปหาอะไรกินกันระหว่างทางที่เดินไปเนี่ย เพื่อนโดยเหมือนผู้หญิงที่เป็น homeless เดินสวนกันแล้วจู่ๆมากระชากผมเนแบบแรงมาก จนเพื่อนเราร้องกริ๊ดดด! พวกเราทุกคนตกใจก็หันไปมองเพราะตอนนั้นเป็นจังหวะข้ามถนนพอดีเลยไม่ได้สนใจ เพื่อนเรานี่ตะโกนด่า F*** ผู้หญิงคนนั้นก็ตะโกนกลับมาแล้วคือคนนั้นเค้าก็เดินไปหันมาตะโกนไป คือตะโกนกันไปมาจนพวกเราแบบพอเถอะรีบไปเถอะน่ากลัว เพื่อนบอกว่าตั้งแต่อยู่มาไม่เคยโดนอะไรแบบนี้กลับบ้านดึกแค่ไหนก็ไม่เคย นี่โดนกลางวันแสกๆ จนรู้สึก insecure มาก 

หลังจากผ่านเหตุการณ์ระทึกก็กินข้าวเดินเล่นในปารีส เก็บตกซื้อพวกเครื่องสำอางโดยเฉพาะ Bioderma ที่ถือว่ามาถึงแหล่งต้นกำเนิดแล้ว เสร็จแล้วก็หาขนมกินกัน ก่อนจะกลับโรงแรมเพื่อไปเอากระเป๋าไปสนามบิน




ตอนนั่งรอเครื่องอยู่นั้นโลกกลมมาก เจอเพื่อนที่โรงเรียน คือได้ยินคนเรียกชื่อก็เลยหันไปมอง เห้ยยยย เพื่อนยืนยิ้มแฉ่งให้อยู่อ่ะ เลยรีบลุกไปหา คือนางเป็นคนจีนที่สนิทกันระดับนึงสมัยอยู่โรงเรียนแล้วตอนนั้นที่เจอคือนางก็เรียนอยู่UKพอดี คือก่อนมาปารีสก็เห็นว่านางอยู่ฝรั่งเศสอยู่แล้วตอนนั้นแต่ก็ไม่ได้คุยกันหรือนัดเจอกันเพราะโปรแกรมแน่นมาก คือดีใจมากไม่คิดว่าจะได้มาเจอกันที่สนามบิน เลยถามนางว่าจะไปไหนนางเลยบอกไป Belfast คุยกันเล็กน้อยแล้วก็ต้องแยกกัน


เป็นอันจบทริปปารีส เป็นทริปที่มีครบทุกรสทั้งประทับใจและไม่ประทับใจ ถือว่าเป็นการเที่ยวยุโรปครั้งแรกของแพร์ด้วย ถ้าให้คะแนนความประทับใจแล้วให้แค่ 7/10 พอ เพราะหลายๆอย่างรวมถึงค่าครองชีพที่แพงมากที่นี่ ถ้าถามว่าจะกลับไปปารีสอีกไหม บอกเลยว่า ไม่ ครั้งเดียวก็พอแล้ว แต่ถ้ามีโอกาสก็อยากไปเมืองอื่นเช่น Nice 


ไว้เจอกันใหม่บล็อกหน้าค่ะ


No comments :

Post a Comment